top of page

แผงโซลาร์เซลล์จะถูกลงอีกไหม

Updated: Jun 28, 2021

ราคาอุปกรณ์และแผงโซลาร์ลดลง 89% ตั้งแต่ปี 2010 และราคาจะลงต่ออีกหรือไม่?

 

บทความนี้เป็นบทความที่ผมแปลมาจาก thesolarnerd.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ชั้นนำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของอเมริกา เนื้อหาบางส่วนผมได้มีการเรียบเรียงเพิ่มเติมเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในประเทศไทย รวมถึงการปรับแปลคำศัพท์เฉพาะบางอย่างให้เข้าปากและคุ้นหูคนไทยให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามเนื้อหาบางส่วนผมยังคงปล่อยให้เป็นไปตามเดิม เช่น ราคาดอลลาร์สหรัฐ เพราะเป็นข้อมูลอ้างอิง หวังว่าข้อมูลจากอเมริกาในบทความนี้จะเป็นประโยชน์เพื่อใช้เทียบเคียงได้กับสถานการณ์โซลาร์เซลล์ในประเทศไทย ไม่มากก็น้อย ...ทั้งนี้ หากมีความผิดพลาดประการใดต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

 

หากคุณสนใจในพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียน ทุกคนก็คงทราบดีว่าราคาของเทคโนโลยีลมและพลังงานแสงอาทิตย์ได้ลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา


มีคำถาม 2-3 ข้อที่เจ้าของบ้านที่กำลังคิดจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์มักจะถามกันบ่อย ประการแรกคือ โซลาร์เซลล์จะถูกลงหรือไม่? และอีกอย่างคือ ถ้าโซลาร์ราคาถูกลง เราควรรอก่อนที่จะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในบ้านหรือไม่?



ราคาของแผงโซลาร์เซลล์ อินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ลิเธียมมีราคาถูกลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และคาการณ์ว่าราคาน่าจะลดลงต่อไปอีก อันที่จริง มีการคาดการณ์ว่าราคาโซลาร์เซลล์จะลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2050

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนค่าแรงการติดตั้งโซลาร์เซลล์จะไม่ลดลงในอัตราเดียวกัน เนื่องจากต้นทุนด้านอุปกรณ์และแผงคิดเป็นมูลค่าน้อยกว่า 40% ของราคาสำหรับการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในบ้าน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับใช้ในบ้านจะมีราคาถูกลงอย่างมากในอนาคต


หากคุณกำลังคิดที่จะติดตั้งโซลาร์ให้กับบ้านของคุณ การรออาจจะไม่ช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มากนัก การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ของคุณตอนนี้ยังจะทำให้คุณไม่เสียโอกาสและเป็นการคุ้มค่าจากการประหยัดไฟมากกว่าเสียอีกด้วย ยังไม่นับรวมการขายไฟคืนให้กับภาครัฐ


เนื่องจากพลังงานหมุนเวียนได้กลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ จึงมีงานวิจัยเกิดขึ้นมากมาย และเราได้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่มีความน่าเชื่อถือมาไว้ให้คุณแล้ว ดังนี้

· New Energy Outlook from Bloomberg New Energy Finance

· Tracking the Sun from Lawrence Berkeley National Laboratory

· US Solar Market Insight from the Solar Energy Industries Association

· Total eclipse: How falling costs will secure solar’s dominance in power (Wood Mackenzie)


การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนของระบบแผงโซลาร์เซลล์ในบ้าน และมีตัวเลือกมากมายที่ส่งผลต่อราคาปลายทางที่คุณจ่าย อย่างไรก็ดี...มันมีประโยชน์ที่จะได้รู้ว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร


ตารางด้านล่างแสดงราคากลางของโซลาร์เซลล์ในบ้านในรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลมาจากรายงานของ Tracking the Sun โปรดทราบว่าราคาเหล่านี้เป็นต้นทุนการติดตั้งทั้งหมดของระบบ ซึ่งหมายถึงอุปกรณ์แผงและค่าแรงรวมงานติดตั้งทั้งหมด

คุณจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างเล็กน้อยจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐ ดังนั้นแนวโน้มราคาในเขตที่คุณอาศัยอยู่อาจแตกต่างจากสหรัฐอเมริกาโดยรวม


ส่วนนี่คือราคากลางของการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้านของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา:

หมายเหตุ: ราคาประมาณการค่าแผงรวมติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ขนาด 6.5 kW ของประเทศไทยในปี 2021 อยู่ระหว่าง 175,000 – 275,000 บาท ขึ้นกับผู้ให้บริการติดตั้ง แผง และอุปกรณ์ที่เลือกใช้


ราคาเมื่อเทียบกับ 20 หรือ 10 ปีที่แล้วนั้นลดลงอย่างน่าทึ่งมาก แต่ราคาที่ลดลงเมื่อช่วงไม่นานนี้ก็ไม่ได้น่าตกใจอะไรมากนัก ซึ่งหมายความว่าคุณอาจคาดหวังได้ว่าต้นทุนของพลังงานแสงอาทิตย์จะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อย่าคาดหวังว่าจะว่ามมันจะลดต้นทุนลงไปเยอะแยะอะไรขนาดนั้นในอนาคต


ราคาพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงมาแล้วเท่าไหร่?

หัวข้อที่ผ่านมาได้อธิบายไปถึงการลดลงของต้นทุนราคาการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับบ้าน แต่แผงโซลาร์เซลล์ล่ะ?


ราคาแผงโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างเหลือเชื่อ ย้อนกลับไปในปี 1977 ราคาของแผงโซลาร์เซลล์อยู่ที่ 77 ดอลลาร์สำหรับพลังงานเพียงหนึ่งวัตต์ วันนี้? คุณสามารถหาโซลาร์เซลล์ที่มีราคาต่ำถึง 0.13 เหรียญสหรัฐต่อวัตต์หรือลดลงมาประมาณ 600 เท่า ต้นทุนของมันเป็นไปตามกฎของสวอนสันซึ่งระบุว่าราคาของพลังงานแสงอาทิตย์ลดลง 20% สำหรับทุก ๆ 2 เท่าของจำนวนแผงที่ส่งออกมาขาย

ราคาที่ลดลงของแผงโซลาร์สำหรับบ้านตั้งแต่ปี 2000 เครดิต: Berkeley Lab

ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการผลิตและราคานี้เป็นผลกระทบที่สำคัญ เพราะอย่างที่คุณเห็น เศรษฐกิจโลกทั้งหมดกำลังเปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว


ดังที่คุณเห็นในกราฟด้านล่าง 20 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์แบบที่กระจายตัวอยู่ทั่วไป (Distributed Solar) พลังงานแสงอาทิตย์แบบที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปหมายถึงระบบขนาดเล็กที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าอย่างโซลาร์ฟาร์ม กล่าวคือ ระบบที่ติดกันตามหลังคาตามบ้าน อาคารออฟฟิศ และโรงงานทั่วประเทศ

การเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์แบบกระจายตัวอยู่ทั่วไปตั้งแต่ปี 2000 เครดิต: Berkeley Lab

กราฟนี้แสดงจำนวนระบบที่ได้รับการติดตั้งต่อปี อย่างที่คุณเห็น ตลาดนี้ยังค่อนข้างที่ค่อนข้างเล็กในปี 2010 และยอดติดตั้งได้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีนับแต่นั้นมา ถึงแม่จะมีการเติบโตที่ลดลงเล็กน้อยในปี 2017 แต่ก็ยังเติบโตขึ้นมากต่อเนื่องอีกในปี 2018 และต้นปี 2019 ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


กฎของสวอนสันอธิบายว่าการเติบโตอย่างมหาศาลนี้ส่งผลให้ราคาตกลงอย่างมากเช่นกัน ต้นทุนแผงโซลาร์เซลล์ได้ลดลงมาถึง 89% นับตั้งแต่ปี 2010


ต้นทุนค่าอุปกรณ์และแผงเทียบกับต้นทุนงานติดตั้ง

เมื่อคุณนึกถึงระบบโซลาร์ คุณอาจจะคิดว่าอุปกรณ์และแผงน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นสัดส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเมาท์ติ้ง สายไฟ อินเวอร์เตอร์ และตัวแผงโซลาร์เซลล์เอง


ในความเป็นจริง ส่วนของอุปกรณ์และแผงคิดเป็นเพียง 36% ของต้นทุนของระบบโซลาร์ในครัวเรือน ส่วนที่เหลือใช้ต้นทุนค่าแรงงานติดตั้งซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ผู้ติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ต้องแบกรับ ซึ่งรวมถึงทุกอย่างตั้งแต่แรงงานในการติดตั้งและการขออนุญาต ไปจนถึงต้นทุนการหาลูกค้า (เช่น การขายและการตลาด) ไปจนถึงค่าใช้จ่ายทั่วไปอื่นๆ


ต้นทุนค่าติดตั้งลดลงแต่ไม่มากเท่ากับต้นทุนส่วนของอุปกรณ์และแผง ดังที่แสดงในกราฟด้านล่าง

ต้นทุนส่วนของอุปกรณ์และแผงเทียบกับค่างานติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 เครดิต: Berkeley Lab

นอกจากนี้ คุณจะสังเกตเห็นว่าต้นทุนงานติดตั้งกลายเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยลงของต้นทุนทั้งระบบเมื่อขนาดระบบใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเทียบโครงการที่อยู่อาศัยกับโครงการขนาดใหญ่ หรือระบบโซลาร์ที่ติดตั้งในที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ก็มักจะมีราคาต่อวัตต์ที่ต่ำกว่าระบบขนาดเล็ก เนื่องจากค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เช่น ค่าการขออนุญาตและค่าการตลาด เปลี่ยนแปลงในสัดส่วนที่ไม่มากนักหรือแทบไม่แตกต่างเลย


พลังงานแสงอาทิตย์จะยังคงเติบโตในอเมริกาไปได้อีกแค่ไหน?

การเติบโตของพลังงานหมุนเวียนได้รับแรงหนุนจากสองสิ่ง คือเทคโนโลยีที่ดีขึ้น และปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น แรงกระตุ้นเหล่านี้ร่วมกันผลักดันราคาไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ให้ต่ำลงมากจนเทียบได้กับก๊าซและถ่านหิน หรือแม้กระทั่งอาจจะถูกกว่าในหลายกรณี

ประการที่สอง คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐที่มีมาตรฐานพอร์ตโฟลิโอหมุนเวียน (RPS) ซึ่ง RPS เป็นคำสั่งจากรัฐบาลของรัฐที่ระบุว่าร้อยละหนึ่งของกระแสไฟฟ้าของรัฐต้องมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน


บางรัฐมีเป้าหมายเชิงรุกกว่านั้น ฮาวายมีเป้าหมายในการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2045 รัฐเมนก็กำลังมุ่งเป้าไปที่ 100% ภายในปี 2050 และแคลิฟอร์เนีย รัฐที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาต้องการไปถึงเป้าที่ 60% โดยเร็วที่สุดในปี 2030


คำสั่งรัฐเหล่านี้มีความสำคัญต่อราคาของพลังงานแสงอาทิตย์เพราะหมายความว่าจะมีตลาดรองรับสำหรับแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในอนาคต ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาแผงโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างต่อเนื่อง


เราควรคาดหวังว่าราคาของโซลาร์จะลดลงไปถึงเท่าไหร่?

Bloomberg New Energy Finance (BNEF) ได้ทำการคาดการณ์ราคาโซลาร์ในอนาคต หากมันดูห่างไกลเกินจริง โปรดจำไว้ว่าในอดีตเราเคยคาดการณ์ไว้ต่ำกว่าความจริงไปมากว่าเทคโนโลยีสีเขียวจะเติบโตได้เร็วขนาดนี้ ซึ่งรวมถึงพลังงานแสงอาทิตย์ ลม แบตเตอรี่ และรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมดนี้เติบโตเร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้มาก ดังนั้นตัวเลขเหล่านี้จาก BNEF อาจจบลงด้วยการประเมินแนวโน้มตลาดที่แท้จริงต่ำเกินไป


นี่คือไฮไลท์บางส่วนจาก BNEF New Energy Outlook 2019:

· ราคาแผงเซลล์แสงอาทิตย์ได้ลดลง 89% ตั้งแต่ปี 2010

· ราคา Solar PV ควรลดลงอีก 34% ภายในปี 2030

· ภายในปี 2050 ราคาเหล่านั้นควรลดลงทั้งหมด 63% ซึ่งหมายความว่า PV ระดับยูทิลิตี้จะมีราคาเพียง 2.5 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง

· ราคาแบตเตอรี่ลดลง 84% ตั้งแต่ปี 2010

· พลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่อาศัยจะเติบโตเป็น 11% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2050


สุดท้าย เมื่อไม่นานมานี้ Wood Mackenzie คาดการณ์ว่าพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐฯ จะเติบโต 43% ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ พวกเขายังคาดการณ์ว่าในเวลาเพียง 5 ปีจำนวนพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า การคาดการณ์ราคาของ Wood Mackenzie นั้นคล้ายกับของ BNEF พวกเขาคาดว่าราคาของพลังงานแสงอาทิตย์จะลดลงอีก 15% -25% ในอีก 10 ปีข้างหน้า ในความเป็นจริง ภายในปี 2030 พวกเขาคาดว่าพลังงานแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ถูกที่สุดใน 50 รัฐของสหรัฐอเมริกา


พลังงานแสงอาทิตย์จะเติบโตทั่วโลกอีกมากแค่ไหน?

สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จีนกำลังแซงหน้าสหรัฐฯ โดยติดตั้งโซลาร์เซลล์ในอัตราประมาณ 2 เท่าของสหรัฐฯ จีนก็เหมือนกับรัฐอื่นๆ ของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่มีเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียน พวกเขากำลังตั้งเป้าที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน 20% ภายในปี 2030 นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับประเทศที่ใช้ถ่านหินเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมส่วนใหญ่


นี่คือไฮไลท์เพิ่มเติมบางส่วนจากรายงาน:

· ภายในปี 2050 ไฟฟ้า 69% ของโลกจะเป็นพลังงานหมุนเวียน

· ในปี 2019 พลังงานแสงอาทิตย์จ่ายพลังงานเพียง 2% ของพลังงานโลก แต่จะเติบโตเป็น 22% ภายในปี 2050

· แบตเตอรี่กริดสเกลขนาดใหญ่จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาหลักสำหรับการเติบโตนี้ แบตเตอรี่จะถูกลง 64% ภายในปี 2040 และโลกจะติดตั้งพลังงานแบตเตอรี่ 359 GW ภายในปี 2050

· จำนวนการลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์สะสมจะแตะ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2050

· ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น การใช้ถ่านหินจะลดลงครึ่งหนึ่งทั่วโลก ลดลงเหลือ 12% ของพลังงานทั้งหมด

· ในสหรัฐอเมริกา เราเกือบจะหยุดสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่แล้ว โดยพื้นฐานแล้วเทคโนโลยีทั้งสองจะหายไปจากโครงข่ายไฟฟ้าภายในปี 2050

· คาดว่าอินเดียจะสร้างพลังงานถ่านหินต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากเครื่องปรับอากาศซึ่งจะเพิ่มเป็นสองเท่าทั่วโลก อินเดียคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตถ่านหิน 170 GW ภายในปี 2050 แต่จะถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับพลังงานหมุนเวียนซึ่งจะเท่ากับ 1,500 GW ในช่วงเวลาเดียวกัน

· 67% ของไฟฟ้าของอินเดียจะปลอดคาร์บอนภายในปี 2050 และ 70% ของไฟฟ้าจะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์


ผลกระทบของต้นทุนส่วนงานติดตั้งต่อราคาของโซล่าร์ในบ้าน

จนถึงตอนนี้ เราได้แสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์และแผงของโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างมากมายไม่น่าเชื่อในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบหนึ่งของต้นทุนแผงโซลาร์เซลล์ที่ยังค่อนข้างสูงนั้นไม่ใช่ผลจากต้นทุนเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งกำลังลดลง แต่เป็นต้นทุนงานติดตั้ง


ต้นทุนงานติดตั้งคืออะไร?

ต้นทุนงานติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่รวมทุกอย่างยกเว้นอปุกรณ์และแผง ซึ่งหมายถึงแรงงาน การตลาดและการขาย ค่าโสหุ้ยของบริษัท ผลกำไร และงานที่เกี่ยวข้องกับการขอใบอนุญาตกับภาครัฐและการขอเชื่อมต่อโครงข่ายกับการไฟฟ้า

โดยเฉลี่ย ต้นทุนงานติดตั้งจะอยู่ที่ 64% ของต้นทุนรวมของการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้าน สำหรับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในที่พักอาศัย การติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในโครงการขนาดเล็กขนาดเล็กจะมีนทุนที่งานติดตั้งต่อต้นทุนรวมคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าของโครงการขนาดใหญ่

เนื่องจากถ้าคุณทำโครงการโซลาร์สำหรับบ้านขนาดเล็ก เช่น การติดตั้งขนาด 3 กิโลวัตต์ ปริมาณงานที่ต้องใช้ในการขอใบอนุญาต ติดต่อกับบริษัทสาธารณูปโภค และรับการตรวจสอบจะเหมือนกับที่คุณกำลังทำอยู่กับโครงการขนาดใหญ่กว่า 20 กิโลวัตต์ นี่คือเหตุผลที่พลังงานแสงอาทิตย์เชิงพาณิชย์และระดับสาธารณูปโภคมีราคาถูกกว่าต่อวัตต์มากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ในบ้าน


จากการวิเคราะห์ของกระทรวงพลังงาน ต้นทุนงานติดตั้ง แบ่งออกเป็นดังนี้:

· ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต: 2%

· งานอนุญาตและเชื่อมต่อโครงข่าย: 2%

· ภาษีการขาย: 5%

· ต้นทุนการทำธุรกรรม: 6%

· กำไรจากการติดตั้ง: 9%

· ต้นทุนทางอ้อมขององค์กร: 9%

· การตลาด: 9%

· แรงงานติดตั้ง: 11%

· ต้นทุนซัพพลายเชน: 12%


เพราะปัจจัยตามธรรมชาติของต้นทุนเหล่านี้ มันจึงยากต่อการลดค่าใช้จ่ายมากกว่าของส่วนอุปกรณ์และแผง ตัวอย่างเช่น “ค่าใช้จ่ายทางอ้อมขององค์กร” อาจรวมถึงสิ่งต่าง ๆ เช่น การจ่ายค่าเช่าอาคารของคุณ ค่าประกัน ค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่สนับสนุน และสิ่งอื่น ๆ ที่จำเป็นในการเปิดไฟสำหรับธุรกิจ เป็นค่าใช้จ่ายที่ลดยาก

การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในสถานที่ต่างๆ เช่น แคลิฟอร์เนียซึ่งมีการแข่งขันสูงได้บีบส่วนต่างกำไรของผู้ติดตั้ง ดังนั้นจึงไม่มีที่ว่างให้ขยับเขยื้อนมากไปกว่านี้เพื่อลดต้นทุนเหล่านี้


ราคาของการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับที่อยู่อาศัยคงไม่ลงต่อแล้ว แต่ผู้บริโภคกำลังได้รับอุปกรณ์และแผงที่ดีขึ้น


รายงานล่าสุดจาก Berkeley Lab แสดงให้เห็นว่าต้นทุนการติดตั้งโซลาร์สำหรับที่อยู่อาศัยได้ลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่อันที่จริงแล้ว ในปี 2019 ราคาเฉลี่ยกลับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.10 ดอลลาร์


อาจทำให้ดูเหมือนว่าพลังงานแสงอาทิตย์เริ่มมีราคาแพงขึ้น จริงๆ ไม่ใช่ ต้นทุนค่าใช้จ่ายยังคงลดลงทุกปี อันที่จริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือลูกค้าที่อยู่อาศัยกำลังติดตั้งอุปกรณ์ที่ดีขึ้นและได้รับความคุ้มค่ามากขึ้นด้วยเงินเท่าเดิม


ตัวอย่างเช่น ในปี 2018 ลูกค้าที่อยู่อาศัย 74% เลือกไมโครอินเวอร์เตอร์หรือระบบอินเวอร์เตอร์แบบมี power optimizerเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานแทนอินเวิร์เตอร์แบบที่มีราคาไม่แพง ในปี 2019 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 87%


ในทำนองเดียวกันในปี 2018 เจ้าของบ้านพลังงานแสงอาทิตย์โดยเฉลี่ยกำลังติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพ 18.8% แต่ในปี 2019 ประสิทธิภาพเฉลี่ยของแผงเพิ่มขึ้นเป็น 19.4%

ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ในขณะที่ราคาที่เจ้าของบ้านจ่ายสำหรับโซลาร์เซลล์ในทุกวันนี้จะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พวกเขากำลังได้รับอุปกรณ์ที่ดีกว่าสำหรับเงินเท่าเดิม


คุณควรรอให้พลังงานแสงอาทิตย์ราคาถูกลงหรือไม่?

ในภาพรวม จากผลกระทบของการที่ราคางานติดตั้งที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก หากคุณสงสัยว่าคุณควรรอให้ต้นทุนลดลงอีกหรือไม่ เราขอแนะนำว่าอย่ารอ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในบ้านเพียง 36% เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนค่าแผงและอุปกรณ์ ดังนั้นการรออีก 2-3 ปีจะไม่ส่งผลให้ราคาลดลงอย่างมากที่เราเคยเห็นในอดีต ราคาปุกรณ์และแผโซลาร์มีราคาถูกมากอยู่แล้ว


การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ตอนนี้ คุณกำลังล็อกค่าไฟฟ้าให้คงตัวอย่างมีประสิทธิภาพในอีกสองสามทศวรรษข้างหน้า เมื่อเริ่มต้นระยะเวลาคืนทุนเร็วขึ้น การลงทุนของคุณจะเริ่มสร้างผลตอบแทนกลับคืนให้คุณเร็วขึ้น

ปัญหาสำคัญอื่น ๆ คือแรงจูงใจของรัฐบาลกลางและระดับท้องถิ่นสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์จะหมดอายุในที่สุด เครดิตภาษีของรัฐบาลกลางจะมีมูลค่าลดลงในปี 2020 และจะหายไปสำหรับลูกค้าที่อยู่อาศัยภายในปี 2022

การเปลี่ยนแปลงนี้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนราคาถูก ทุกวันนี้ พลังงานลมหรือเซลล์แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าใหม่ที่ถูกที่สุดในประเทศซึ่งคิดเป็นประมาณ 73% ของ GDP โลก และในขณะที่ต้นทุนยังคงลดลง เราคาดว่าพลังงานลมและเซลล์แสงอาทิตย์ที่สร้างใหม่จะมีราคาถูกกว่าการใช้โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีอยู่ ในประเทศจีน พลังงานหมุนเวียนที่ไม่ได้รับการอุดหนุนจะตัดต่ำกว่าราคาถ่านหินในปี 2023-34 และในสหรัฐอเมริกาพวกเขาตัดต่ำกว่าราคาก๊าซธรรมชาติในปี 2024-25


bottom of page